นิสัยความรู้สึกพื้นฐานลึกๆของตัวละครหลัก? ความรู้สึกที่แท้จริงของภาพยนตร์เรื่องนี้?
การ์ตูน
โครงเรื่อง ( TREATMENT) เป็นการเล่าเรื่องลำดับเหตุการณ์อย่างมีเหตุผล
เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์จะต้องส่งเสริมประเด็นหลักของเรื่องได้ชัดเจน
ไม่ให้หลงประเด็น โครงเรื่องจะประกอบด้วยเหตุการณ์หลัก ( Main
plot) และเหตุการณ์รอง ( Sub plot) ซึ่งเหตุการณ์รองที่ใส่เข้าไป
ต้องผสมกลมกลืนเป็นเหตุเป็นผลกับเหตุการณ์หลัก
6. ตัวละคร ( CHARECTOR) มีหน้าที่ดำเนินเหตุการณ์จากจุดเริ่มต้นไปสู่จุดสิ้นสุดของเรื่อง
ตัวละครอาจเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือเป็นนามธรรมไม่มีตัวตนก็ได้
การสร้างตัวละครขึ้นมาต้องคำนึงถึงภูมิหลังพื้นฐาน ที่มาที่ไป บุคลิกนิสัย
ความต้องการ อันก่อให้เกิดพฤติกรรมต่างๆของตัวละครนั้นๆ
ตัวละครแบ่งออกเป็นตัวแสดงหลักหรือตัวแสดงนำ และตัวแสดงสมทบหรือตัวแสดงประกอบ
ทุกตัวละครจะต้องมีส่งผลต่อเหตุการณ์นั้นๆ มากน้อยตามแต่บทบาทของตน
ตัวเอกย่อมมีความสำคัญมากกว่าตัวรองเสมอ
7. บทสนทนา ( DIALOGUE) เป็นถ้อยคำที่กำหนดให้แต่ละตัวละครได้ใช้แสดงโต้ตอบกัน
ใช้บอกถึงอารมณ์ ดำเนินเรื่อง และสื่อสารกับผู้ชม
ภาพยนตร์ที่ดีจะสื่อความหมายด้วยภาพมากกว่าคำพูด
การประหยัดถ้อยคำจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ ความหมายหรืออารมณ์บางครั้งอาจจำเป็นต้องใช้ถ้อยคำมาช่วยเสริมให้ดูดียิ่งขึ้นก็ได้
โครงสร้างการเขียนบท
1.
ฐานะการเงินเป็นพื้นฐานชีวิตของตัวละครเลยก็ว่าได้ เพราะมันส่งผลไปถึงรายละเอียดต่างๆของตัวละคร เช่น สภาพที่อยู่อาศัย พฤติกรรมการบริโภค เสื้อผ้า อาหาร ยี่ห้อของข้าวของเครื่องใช้ วิธีการเดินทาง รวมไปถึงความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าบางอย่าง 7. กลุ่มทางสังคมเช่นแก๊งส์มอเตอร์ไซค์ แก๊งส์รถแต่ง เด็กแนว ฯ บางกลุ่มมีภาษาเฉพาะ เช่นกระเทย เดื๋อย หมายถึง เพื่อนรัก เพื่อนสนิท เรียกแทนชื่อเพื่อน ไปไหนมาเดื๋อย รอนานแล้วนะเดื๋อย หรือเบเกอรี่ มีความหมายเดียวกับคำว่า ปาดหน้าเค้ก ตั้งหม้อ ลูกชุบ หมายถึง การแย่งชิงสิ่งของ หรือ บุคคลอันเป็นที่หมายปองของเราไป เช่น ดูนังแอนสิยะ พอเห็นผู้ชายหล่อมา นางก้อเบเกอรี่สุดฤทธิ์ เป็นต้น วัยรุ่น(บางกลุ่ม)เฮ้อ…วันนี้อารมณ์แฟ๊งค์สุดๆ เลยออกไปเดินเล่นชิวชิวข้างนอก 8. ตัวละครพิเศษ เช่น คนบ้า คนวิกลจิต คนป่วย ต้องรีเสิรชว่าเป็นประเภทไหน มีอาการอย่างไร หรือ ภาษามือ ภาษาเขียนของคนหูหนวกเป็นใบ้ ก็มีรูปแบบเฉพาะ 9.
ค่าหากเงื่อนไขถูกต้อง: ค่าหากไม่ตรงเงื่อนไข)
ตัวอย่างการใช้งาน shorthand if ในลักษณะต่างๆ
การใช้ shorthand if เพื่อเช็คเงื่อนไขก่อนเก็บค่าตัวแปร
$is_premium_user = ( $user['permissions'] == 'premium'? true: false);
การใช้ shorthand if กับการแสดงข้อความโดย echo
echo 'ยินดีต้อนรับ'. ( $user['login']? $user['first_name']: 'Guest');
การใช้ shorthand if กับ error_reporting
error_reporting ( $IS_WEBSITE_LIVE? 0: E_STRICT);
การใช้ shorthand if กับ base part
echo ' < base href = " '. ($PAGE_IS_SECURE? 's': ''). ' " /> ';
การใช้ shorthand if ในรูปแบบของ Nested
echo 'จากคะแนนประเมิณได้ว่าคุณ: '. ( $score > 8 0? ( $age > 10? 'ฉลาด': 'อัฉริยะ'): ( $age > 10? 'ต้องขยันเพิ่มละ': 'อยู่ในเกณฑ์ดี'));
การใช้ shorthand if กับ PHP Redirect
header ( 'Location: '. ( $valid_login? '/user/': ' '));
exit ();
นอกจากตัวอย่างแล้วเรายังสามารถนำ shothand if ไปใช้ในรูปแบบอื่นๆ ได้อีกมาก ซึ่งขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้ ซึ่งถือได้ว่ารูปแบบการเขียน shorthand if นั้นช่วยลดจำนวนซอร์สโค้ด และทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้คำสั่งประเภทเงื่อนไข if ได้คล่องตัวขึ้น จากการเขียน if แบบเก่าซึ่งผมว่าอาจจะยากสำหรับมือใหม่ไปนิดหน่อยเพราะต้องมาเขียนอยู่ในบรรทัดเดียวแถมยังไม่พอยังต้องมาต่อกับสตริงอีกด้วย แต่ผมเชื่อว่าหากเราเข้าใจคำสั่งเงื่อนไขของ if แล้วมาในระดับหนึ่งแล้ว เราก็จะสามารถเข้าใจรูปแบบการเขียน shorthand if นี้ได้ไม่ยากครับ
การเขียน if/else แบบสั้นๆ ด้วยเทคนิค shorthand if PHP
จุดเริ่มต้น ( BIGINNING)
ช่วงของการเปิดเรื่อง แนะนำเรื่องราว ปูเนื้อเรื่อง
2. การพัฒนาเรื่อง ( DEVELOPING) การดำเนินเรื่อง
ผ่านเหตุการณ์เดียวหรือหลายเหตุการณ์ เนื้อเรื่องจะมีความซับซ้อนมากขึ้น
3. จุดสิ้นสุด ( ENDING) จุดจบของเรื่อง
แบ่งออกเป็นแบบสมหวัง ( Happy ending) ทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจ
และแบบผิดหวัง ( Sad ending) ทำให้รู้สึกสะเทือนใจ
ปัจจัยสำคัญในโครงสร้างบท
1. แนะนำ ( INTRODUCTION) คือการแนะนำเหตุการณ์
สถานการณ์ สถานที่ ตัวละครสิ่งแวดล้อม และเวลา
2. สร้างเงื่อนไข ( SUSPENSE) คือการกระตุ้นให้เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างลึกลับมีเงื่อนไข
มีปมผูกมัด ความขัดแย้ง ทำให้ผู้ชมเกิดความสงสัยและสนใจในเหตุการณ์
3. สร้างวิกฤตกาล ( CRISIS) คือการเผชิญปัญหา
วิเคราะห์ปัญหาของตัวละคร และหาทางแก้ไข หาทางออก
หากตัวละครวนเวียนอยู่กับปัญหานานมากจะทำให้ผู้ชมรู้สึกหนักและเบื่อขึ้นได้
ควรที่จะมีการกระตุ้นจากเหตุการณ์อื่นมาแทรกด้วย
4. จุดวิกฤตสูงสุด ( CLIMAX) เป็นช่วงเผชิญหน้ากับปัญหาครั้งสุดท้ายที่ถูกบีบกดดันสูงสุด
ทำให้มีการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
5. ผลสรุป ( CONCLUSION) คือทางออก ข้อสรุป
ทำให้เกิดความกระจ่าง ภาพยนตร์บางเรื่องอาจไม่มีบทสรุป
ก็เพื่อให้ผู้ชมนำกลับไปคิดเอง
โครงสร้างเรื่อง
ในแต่ละช่วงตอนจะประกอบด้วยปัจจัยสำคัญทั้ง 5
เสมอ
จุดเริ่มต้น ( BIGINNING) คือ
1.
ฉัตรชัย
- โควิดลงปอด อาการเป็นแบบไหน เรื่องที่ผู้ป่วยโควิดต้องรู้ เช็คตัวเองด่วน!
- สุดยอดการหาปลาแบบแปลกๆ?ไปดูกัน!! - YouTube
- แช ท ดำ
- เม ส ซี่ ค่า เหนื่อย
- วิธีการเขียนบทหนังสั้น - SRP31203
- Schneider ev charger ราคา 2564
- โค ร ต สู้ โค ร ต โส เต็ม เรื่อง
- แบบ สัก นก การ์ตูน
- กาแฟ มะรุม ราคา ส่ง
- คิว รถ ตู้ ชัยภูมิ
- น้ำยาย้อมผมอยู่ได้นานแค่ไหน
แนะนำ ( INTRODUCTION)
2. สร้างเงื่อนไข ( SUSPENSE)
3. สร้างวิกฤตกาล ( CRISIS)
4. จุดวิกฤตสูงสุด ( CLIMAX)
5. ผลสรุป ( CONCLUSION)
การพัฒนาเรื่อง ( DEVELOPING)
4. จุดวิกฤตสูงสุด ( CLIMAX
จุดสิ้นสุด ( ENDING)
สรุป
บทภาพยนตร์ ( SCREENPLAY) จะเป็นการเขียนอธิบายรายละเอียดเรื่องราว
เมื่อได้โครงสร้างเรื่องที่ชัดเจนแล้วจึงนำเหตุการณ์มาแตกขยายเป็นฉากๆ
ลงรายละเอียดย่อยๆ ใส่สถานการณ์ ช่วงเวลา สถานที่ ตัวละคร บทสนทนา การกระทำ
บางครั้งอาจกำหนดมุมกล้อง ขนาดภาพ แน่นอนชัดเจนเลยก็เป็นได้ บทภาพยนตร์จึงเขียนเพื่อเป็นการเตรียมงานผลิต( Pre-production)
และฝึกซ้อมนักแสดงโดยเฉพาะ
หลังจากนั้นจึงพัฒนาต่อเป็นบทสำหรับการถ่ายทำ( Shooting script) และบทภาพ( Story board) ต่อไป